สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประสบความสำเร็จในช่วงแรกกับการแข่งขันถ้วยท้องถิ่นและระดับชาติ ได้ลงแข่งในกัมเปียวนัตเดกาตาลุนยาและถ้วยโกปาเดลเรย์ ในปี ค.ศ. 1902 สโมสรชนะถ้วยแรกในถ้วยโกปามากายา และร่วมลงแข่งในโกปาเดลเรย์ครั้งแรก แต่แพ้ 1–2 ให้กับบิซกายา ในนัดชิงชนะเลิศ[4] กัมเปร์ได้เป็นประธานสโมสรในปี ค.ศ. 1908 แต่สโมสรมีปัญหาด้านการเงินเนื่องจากไม่สามารถชนะการแข่งขันได้ตั้งแต่กัมเปียนัตเดกาตาลัน
ในปี ค.ศ. 1905 เขาเป็นประธานสโมสรใน 5 วาระในระหว่างปี ค.ศ. 1908 ถึง 1925 รวม 25 ปี ที่เขาดำรงตำแหน่งประธานสโมสร หนึ่งในความสำเร็จคือการทำให้สโมสรมีสนามกีฬาของตัวเอง ทำให้มีรายได้ที่มั่นคง เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1925 ฝูงชนที่สนามกีฬาร้องเพลงชาติในการประท้วงต่อระบอบเผด็จการของ มีเกล เด รีเบรา สนามถูกปิดไป 6 เดือนจากการโต้ตอบด้วยกำลังทหาร และกัมเปร์ถูกบีบให้ถอนตัวจากการเป็นประธานสโมสรจากเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับสโมสรสู่ความเป็นมืออาชีพ โดยในปี ค.ศ. 1926 ผู้บริหารบาร์เซโลนาออกมาประกาศต่อสาธารณะว่าบาร์เซโลนาก้าวสู่มืออาชีพเป็นครั้งแรก สโมสรชนะการแข่งขันถ้วยสเปน มีการแต่งบทกวีเพื่อเฉลิมฉลองในชื่อ “โอดาอาปลัตโก” เขียนขึ้นโดยสมาชิกกลุ่มเจเนอเรชันออฟ 27 ที่ชื่อ ราฟาเอล อัลเบร์ตี ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก “วีรกรรม ของผู้รักษาประตูบาร์เซโลนา เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1930 กัมเปร์ฆ่าตัวตายหลังจากความเครียดที่มาจากปัญหาส่วนตัวและปัญหาด้านการเงิน
ที่ตั้งสนามของสโมสรในฐานะเจ้าบ้าน
หากจะให้กล่าวถึงสนามฟุตบอลที่แฟนบอลอยากไปที่สุดลิสรายชื่อสนาม 1 ใน 5 นั้น ต้องมีสนามคัมป์ นู รังเหย้าของทีมบาร์เซโลน่า ติดอยู่ในใจของแฟนบอลทั่วโลกอย่างแน่นอน เพราะด้วยความยิ่งใหญ่ในด้านความจุ บรรยากาศการเชียร์และรวมถึงผลงานของทีมบาร์เซโลน่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ กัมนอว์ (กาตาลา: Camp Nou, “สนามใหม่”) เป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ตั้งอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนาแคว้นกาตาลุญญา ประเทศสเปน เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1954 และเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 กันยายนค.ศ. 1957 มีความจุทั้งสิ้น 98,772 คน (ถ้าเป็นในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก จะลดลงเหลือ 96,636 ตามกฎมาตรการรักษาความปลอดภัยของยูฟ่า) สนามแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อทดแทนสนามเดิมของบาร์เซโลน่า ที่ชื่อ “คัมป์ เด เลส คอร์ทส” ด้วยเหตุผลของบอร์ดบริหารที่ต้องการขยายสนามรองรับแฟนบอล แต่พื้นที่โดยรอบไม่สามารถขยับขยายพื้นที่ได้อีกแล้ว โดยเดิมถูกเรียกว่า เอสตาดิ เดล เอฟซี บาร์เซโลน่า แต่ท้ายที่สุดแล้วชื่อที่เรียกสั้นๆง่ายๆอย่าง คัมป์ นู ก็เป็นที่นิยมกว่า และถูกใช้เป็นชื่อสนามอย่างเป็นทางการมานับแต่นั้นเป็นต้นมา
ทำเนียบโค้ชและผู้เล่นสำคัญในอตีดจนถึงปัจจุบัน
ในฤดูกาล 1973–74 สโมสรซื้อตัว โยฮัน ไกรฟฟ์ จากอายักซ์ ด้วยค่าตัว 920,000 ปอนด์ ถือเป็นสถิติโลกในสมัยนั้น ซึ่งเป็นนักฟุตบอลที่เป็นที่ยอมรับอยู่แล้วในฮอลแลนด์ ไกรฟฟ์ได้สร้างความประทับใจอย่างรวดเร็วให้กับแฟนสโมสร เมื่อเขาบอกกับสื่อยุโรปว่าที่เขาเลือกบาร์เซโลนา มากกว่าที่จะเลือกเรอัลมาดริดเพราะว่า เขาไม่สามารถเล่นกับสโมสรที่เกี่ยวข้องกับจอมพลฟรังโกได้ เขายังเป็นที่โปรดปรานเมื่อเขาตั้งชื่อลูกชายในภาษากาตาลาว่า คอร์ดี (Jordi) ตามชื่อนักบุญท้องถิ่น อีกทั้งยังมีนักฟุตบอลคุณภาพอย่าง ควน มานวยล์ อาเซนซี, การ์เลส เรซัก, และ อูโก โซติล ก็ทำให้ให้ทีมชนะในลาลีกาในฤดูกาล 1973–74 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 โดยชนะเรอัลมาดริด 5–0 ที่สนามเบร์นาเบว ขณะแข่งขัน ไกรฟฟ์ยังได้รับเลือกเป็นนักฟุตบอลยุโรปยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 1973 สำหรับฤดูกาลแรกของเขากับบาร์เซโลนา (เป็นการได้รับบัลลงดอร์ครั้งที่ 2 ของเขา ครั้งแรกได้รับขณะเล่นให้กับอายักซ์ในปี ค.ศ. 1971) ไกรฟฟ์ยังได้รับรางวัลนี้อีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 (เป็นคนแรกที่ทำได้) ในปี ค.ศ. 1974 ขณะที่เขายังเล่นให้กับบาร์เซโลนา
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1979 สโมสรชนะในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพครั้งแรก โดยชนะทีมฟอร์ทูนาดึสเซลดอร์ฟ 4–3 ในนัดชิงชนะเลิศที่แข่งที่เมืองบาเซิล ที่มีผู้ชมแฟนสโมสรเดินทางมาชมมากกว่า 30,000 คน ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1982 มาราโดนาเซ็นสัญญาด้วยค่าตัวสถิติโลกสมัยนั้น กับจำนวนเงิน 5 ล้านปอนด์ กับสโมสรฟุตบอลโบคาจูเนียส์ ในฤดูกาลถัดมา ภายใต้การดูและของผู้จัดการทีม เมนอตตี บาร์เซโลนาชนะการแข่งขันโกปาเดลเรย์โดยชนะเรอัลมาดริด ในยุคของมาราโดนากับบาร์ซาค่อนข้างสั้น
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1979 สโมสรชนะในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพครั้งแรก โดยชนะทีมฟอร์ทูนาดึสเซลดอร์ฟ 4–3 ในนัดชิงชนะเลิศที่แข่งที่เมืองบาเซิล ที่มีผู้ชมแฟนสโมสรเดินทางมาชมมากกว่า 30,000 คน ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1982 มาราโดนาเซ็นสัญญาด้วยค่าตัวสถิติโลกสมัยนั้น กับจำนวนเงิน 5 ล้านปอนด์ กับสโมสรฟุตบอลโบคาจูเนียส์ ในฤดูกาลถัดมา ภายใต้การดูและของผู้จัดการทีม เมนอตตี บาร์เซโลนาชนะการแข่งขันโกปาเดลเรย์โดยชนะเรอัลมาดริด ในยุคของมาราโดนากับบาร์ซาค่อนข้างสั้น
ในปี ค.ศ. 1988 โยฮัน ไกรฟฟ์ ได้กลับมายังสโมสรในฐานะผู้จัดการทีมและเขาได้รวบรวมทีมที่รู้จักในชื่อ ทีมในฝัน เขาได้รวมนักฟุตบอลสเปนอย่าง ชูเซบ กวาร์ดีโอลา, โคเซ มารี บาเกโร และ ตซีกี เบกีริสไตน์ และยังเซ็นสัญญากับดาราจากต่างประเทศอย่าง โรนัลด์ กุมัน (ดัตช์: Ronald Koeman), ไมเคิล เลาดรูป (เดนมาร์ก: Michael Laudrup), โรมารีอู, และ ฮริสโต ชตอยชคอฟ (บัลแกเรีย: Hristo Stoichkov)ภายใต้คำแนะนำของไกรฟฟ์ บาร์เซโลนาชนะในการแข่งขันลาลีกา 4 สมัยติดต่อกัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 ถึง 1994
บ็อบบี ร็อบสัน เข้ามาแทนที่ไกรฟฟ์ในระยะเวลาสั้น ๆ ในฤดูกาล 1996–97 ฤดูกาลเดียว เขานำโรนัลโดมาจากพีเอสวีไอนด์โฮเวิน และยังชนะใน 3 ถ้วยคือ โกปาเดลเรย์, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และซูเปร์โกปาเดเอสปาญา ถึงแม้ว่าการเข้ามาของร็อบสันจะเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ทางสโมสรก็ยังรอตัวลุยส์ วาน กัล เช่นเดียวกับมาราโดนา โรนัลโดก็ออกจากสโมสรไปไม่นานจากนั้น ไปอยู่กับอินเตอร์มิลาน แต่ก็ได้วีรบุรุษคนใหม่อย่าง ลูอิช ฟีกู, เปตริก ไคลเฟิร์ท (ดัตช์: Patrick Kluivert), ลุยส์ เอนรีเก และ รีวัลดู ที่ทำให้ทีมชนะในโกปาเดลเรย์และลาลีกาในปี ค.ศ. 1998 และในปี ค.ศ. 1999 สโมสรฉลอง 100 ปี เมื่อชนะในปรีเมราดีบีซีออน (ลาลีกา) รีวัลดูเป็นนักฟุตบอลคนที่ 4 ของสโมสรที่ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป
ประธานสโมสร ชูอัง กัสปาร์ต เข้ามาทำหน้าที่แทนนูเญซ ในปี ค.ศ. 2000 เขาดำรงตำแหน่ง 3 ปี สโมสรเริ่มตกต่ำลงและผู้จัดการทีมเปลี่ยนเข้าเปลี่ยนออกหลายครั้ง วาน กัลมารับหน้าที่ผู้จัดการทีมเป็นครั้งที่ 2 กัสปาร์ตไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ได้ และในปี ค.ศ. 2003 เขาและวาน กัล ลาออกจากสโมสรหลังจากในยุคแห่งความผิดหวังของกัสปาร์ต สโมสรก็ฟื้นกลับมาอีกครั้ง จากประธานหนุ่มคนใหม่ ชูอัน ลาปอร์ตา และผู้จัดการทีมหนุ่มคนใหม่ อดีตนักฟุตบอลชาวดัตช์ ฟรังก์ ไรการ์ด ได้ โรนัลดิญโญ่ มาร่ายรำในแดนกลางได้นักฟุตบอลแห่งปีของฟีฟ่า
ยุคปัจจุบัน 2017-2018 ภายใต้การคุมทีม เอร์เนสโต บัลเบร์เด นำพาทีมเจ้าบุญทุ่มบาซ่า เป็นแชมป์ลีกลาลีกาของสเปน และได้เข้าแข่งยูฟ่าแชมป์เปี่ยนลีก แต่ก็มาสะดุดแพ้ตกรอบให้กับ โรม่า หมาป่าจากอิตาลี่
ผู้รักษาประตู : ยาสเปอร์ ซิลเลสเซ่น, มาร์ค-อันเดร แตร์ สเตเก้น
กองหลัง : ลูก้าส์ ดีญ, จอร์ดี้ อัลบา, เคราร์ด ปิเก้, เยอร์รี่ มิน่า, ซามูแอล อุมติตี้, โธมัส แฟร์มาเล่น, เนลสัน เซเมโด้, เซอร์จี้ โรแบร์โต้
กลองกลาง : เซอร์จี้ แซมเพอร์, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, เปาลินโญ่, อิวาน ราคิติช, อันเดร โกเมส, อันเดรส อิเนียสต้า, เดนิส ซัวเรซ, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่
กองหน้า : อูซาเม เดมเบเล่, ลิโอเนล เมสซี่, อเล็กซ์ บีดาล, หลุยส์ ซัวเรซ, ปาโก้ อัลกาเซร์
ผลงานทีมบาร์เซโลน่า
ลาลีกา
ชนะเลิศ (24): 1928–1929, 1944–45, 1947–48, 1948–49, 1951–52, 1952–53, 1958–59, 1959–60, 1973–74, 1984–85, 1990–91, 1991–92, 1992–93, 1993–94, 1997–98, 1998–99, 2004–05, 2005–06, 2008–09, 2009–10, 2010–11, 2012–13, 2014–15, 2015–16
รองชนะเลิศ (24): 1929–30, 1945–46, 1953–54, 1954–55, 1955–56, 1961–62, 1963–64, 1966–67, 1967–68, 1970–71, 1972–73, 1975–76, 1976–77, 1977–78, 1981–82, 1985–86, 1986–87, 1988–89, 1996–97, 1999–00, 2003–04, 2006–07, 2011–12, 2013–14
โกปาเดลเรย์
ชนะเลิศ (28): 1909–10, 1911–12, 1912–13, 1918–19, 1921–22, 1924–25, 1925–26, 1927–28, 1941–42, 1950–51, 1951–52, 1952–53, 1956–57, 1958–59, 1962–63, 1967–68, 1970–71, 1977–78, 1980–81, 1982–83, 1987–88, 1989–90, 1996–97, 1997–98, 2008–09, 2010–11, 2014–15, 2015–16
รองชนะเลิศ (10): 1901–02, 1918–19, 1931–32, 1935–36, 1953–54, 1973–74, 1983–84, 1985–86, 1995–96, 2010–11
โกปาเดลาลีกา
ชนะเลิศ (2): 1982–83, 1985–86
ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา
ชนะเลิศ (11): 1983, 1991, 1992, 1994, 1996, 2005, 2006, 2009, 2010, 2011, 2014, 2016
รองชนะเลิศ (8): 1985, 1988, 1990, 1993, 1997, 1998, 1999, 2015
โกปาเอบาดัวร์เต (ต้นแบบของ ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา)
ชนะเลิศ (3): 1947, 1952, 1952
รองชนะเลิศ (2): 1949, 1951
ถ้วยยุโรป / ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ชนะเลิศ (5): 1991–92, 2005–06, 2008–09, 2010–11, 2014–15
รองชนะเลิศ (3): 1960–61, 1985–86, 1993–94
ยูโรเปียนคัพวินเนอร์สคัพ / ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ
ชนะเลิศ (4): 1978–79, 1981–82, 1988–89, 1996–97
รองชนะเลิศ (2): 1968–69, 1990–91
อินเตอร์-ซิตีแฟร์สคัพ (ต้นแบบของ ยูฟ่ายูโรปาลีก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จัดโดยยูฟ่า)
ชนะเลิศ (3): 1955–58, 1958–60, 1965–66
รองชนะเลิศ (1): 1961–62
ยูโรเปียนซูเปอร์คัพ / ยูฟ่าซูเปอร์คัพ
ชนะเลิศ (5): 1992, 1997, 2009, 2011, 2015
รองชนะเลิศ (4): 1979, 1982, 1989, 2006
ระดับโลก
ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้
รองชนะเลิศ (1): 1992
ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก
ชนะเลิศ (3): 2009, 2011, 2015
รองชนะเลิศ (1): 2006
ฤดูกาลปัจจุบัน 2017-2018 ภายใต้การคุมทีม เอร์เนสโต บัลเบร์เด พาทีมคว้าแชมป์ลีกลาลีกาได้ไปแข่งยูฟ่าแชมป์เปี่ยนลีก
# | ชื่อทีม | แข่ง | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ได้ | เสีย | ผลต่าง | คะแนน |
1 | บาร์เซโลน่า | 37 | 27 | 9 | 1 | 96 | 29 | 67 | 90 |
2 | แอตเลติโก มาดริด | 38 | 23 | 10 | 5 | 58 | 22 | 36 | 79 |
3 | บาเลนเซีย | 38 | 22 | 7 | 9 | 65 | 38 | 27 | 73 |
4 | เรอัล มาดริด | 36 | 20 | 10 | 6 | 84 | 42 | 42 | 70 |
สถิติทีมบาร์เซโลน่า
ชาบี ครองสถิติล่าสุดในการเป็นนักฟุตบอลของสโมสรที่ลงแข่งมากที่สุด (767 นัด) และลงแข่งในลาลีกา (505 นัด)
ผู้ที่ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของบาร์เซโลนาในทุกการแข่งขัน (รวมถึงในนัดกระชับมิตร) คือ เลียวเนล เมสซี (2004 – ปัจจุบัน) จำนวนประตูนับถึงฤดูกาล 2015-2016 คือ 482 ประตู
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 จำนวนการยิงประตูของบาร์เซโลนา ถึง 5,000 ประตู โดยเมสซียิงในนัดแข่งกับราซิงเดซานตันเดร์ ที่บาร์ซาชนะ 2–1
ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2009 บาร์เซโลนาชนะเอสตูเดียนเตส 2–1 ทำให้ครองแชมป์ที่ 6 ในปีเดียวกัน และเป็นสโมสรฟุตบอลแรกที่สามารถถือครองถ้วย 6 ถ้วยในฤดูกาลเดียวกัน
บาร์เซโลนาถือสถิติผู้ครองแชมป์มากที่สุดใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป คือ 90 แชมป์
บาร์เซโลนายังถือสถิติผู้ครองแชมป์มากที่สุดในการแข่งขัน ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก (3), ยูฟ่าซูเปอร์คัพ (5), โกปาเดลเรย์ (28) และ ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา (12)